ทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้เพื่อแก้ไขปัญหา 

 

ขั้นตอน  A: ตรวจสอบว่าเครื่องพิมพ์บราเดอร์เปิดอยู่ และไม่มีข้อความผิดพลาดแจ้งเตือนที่เครื่องพิมพ์ 

หากหน้าจอของเครื่องบราเดอร์ (ในที่นี้เรียกว่าหน้าจอ LCD) ว่างเปล่า อาจไม่ได้เปิดเครื่อง หรือตรวจสอบดูว่าเครื่องได้ออกจากโหมดพักแล้วหรือไม่

หากไม่ ให้ย้ายจุดเสียบเครื่องไปยังเต้าเสียบที่ทำงานปกติและมีไฟของเต้าเสียบเปิดเป็น ON

หมายเหตุ หากคุณยังไม่สามารถเปิดเครื่องพิมพ์ขึ้นมาได้ ให้ดูวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอาการนี้

 

ตรวจดูหน้าจอ LCD ไม่ปรากฏข้อความแสดงความผิดพลาดใดๆ เช่น  "Paper Jam" (กระดาษติด)  หรือ  "Ink/Toner Empty" (หมึก/โทนเนอร์หมด)  หากหน้าจอ  LCD แสดงข้อความผิดพลาด  ให้แก้ไขข้อความแสดงความผิดพลาด 

 

ขั้นตอน B: ตรวจสอบได้เชื่อมต่อเครื่องพิมพ์เข้ากับคอมพิวเตอร์แล้ว

• หากใช้งานแบบสาย USB ตรวจสอบว่าปลายสายทั้งสองด้านของสาย USB ได้เสียบเข้ากับเครื่องพิมพ์และเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว
  และให้เสียบสาย USB เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรงโดยไม่ผ่านฮับ (Hub) 
• หากใช้งานแบบสาย  Ethernet  หรือ สาย LAN ตรวจสอบว่าสาย LAN ได้เสียบเข้ากับฝั่งเครื่องพิมพ์และเราเตอร์หรือแอคเซสพอยต์แล้ว 
  พิมพ์หน้ารายงาน Network Configuration ออกมาเพื่อตรวจสอบ IP address
• หากใช้งานการเชื่อมต่อแบบ Wi-Fi ให้พิมพ์รายงาน Network Configuration ออกมาเพื่อตรวจสอบ IP address 

หากปัญหายังคงดำเนินอยู่ ให้ไปที่  ขั้นตอน C.

 

 

ขั้นตอน C: ตรวจสอบตามข้อด้านล่างดังต่อไปนี้ที่ตรงกับระบบปฏิบัติการของคุณ

• สำหรับ Windows (ขั้นตอน I-V)
• สำหรับ macOS

สำหรับ Windows: ขั้นตอน I. ตรวจสอบว่าคุณได้ตั้งค่าเครื่องบราเดอร์เป็นเครื่องพิมพ์หลักในการพิมพ์แล้ว (Default printer) 

เปิดโฟลเดอร์เครื่องพิมพ์ขึ้นมาและตรวจดูว่ามีเครื่องหมายถูกอยู่ด้านหน้าไอคอนเครื่องพิมพ์แล้ว

 

(สำหรับ Windows 11 หรือสูงกว่า)

ตรวจสอบว่าได้เลือกเครื่องพิมพ์บราเดอร์ในแอปพลิเคชันที่จะพิมพ์แล้ว

 

(สำหรับ Windows 8, Windows 10)

1. เปิด Control Panel  (คลิกที่นี่เพื่อดูวิธีการเปิด Control Panel)
2. คลิก Hardware and Sound > Devices and Printers
   
   

(สำหรับ Windows 7)

คลิก  Start > Devices and Printers

 

หากไม่มีเครื่องหมายถูกที่หน้าเครื่องพิมพ์ของคุณ ให้คลิกขวาที่ไอคอนเครื่องพิมพ์และเลือก Set as default printer

 

 

สำหรับ Windows: ขั้นตอน II.  ลบงานพิมพ์ทั้งหมดออก

(สำหรับ Windows 11 หรือสูงกว่า)

1. คลิก  Start > Settings > Bluetooth & devices > Printers & scanners
2. เลือกเครื่องพิมพ์ของคุณ และจากนั้นคลิก  Open print queue
3. คลิก   > Cancel all
   

(สำหรับ Windows 10 หรือก่อนหน้า)

คลิกขวาที่ไอคอนเครื่องพิมพ์และเลือก  > See what's printing > Printer > Cancel All Documents

 

 

สำหรับ Windows: ขั้นตอน III. ตรวจสอบสถานะของเครื่องพิมพ์ในหน้า  Devices and Printers 

หากสถานะเครื่องพิมพ์โชว์  Offline

 

 

(สำหรับ Windows 10 หรือก่อนหน้า)

ให้คลิกขวาที่ไอคอนของเครื่องพิมพ์และเลือก > See what's printing > Printer > Use Printer Offline (ให้นำเครื่องหมายถูกออก)

หากสถานะของเครื่องพิมพ์โชว์   Paused

 

 

(สำหรับ Windows 10 หรือก่อนหน้า)

คลิกขวาที่ไอคอนของเครื่องพิมพ์แล้วเลือก  > See what's printing > Printer > Pause Printing (นำเครื่องหมายถูกออก)

 

สำหรับ Windows: ขั้นตอน IV. หากมีไอคอน copy ของเครื่องพิมพ์คุณ  (ตัวอย่างเช่น: Brother [ชื่อรุ่น] (Copy 1)) อยู่ในรายการเครื่องพิมพ์ด้วย 

ตัวก็อปปี้ของเครื่องพิมพ์คุณที่เป็นชื่อเดียวกันอาจถูกสร้างขึ้นมา หากคุณ

• เปลี่ยนพอร์ตเสียบสาย USB ของคอมพิวเตอร์ไปยังช่องอื่น
• ติดตั้งไดรเวอร์เครื่องพิมพ์ชื่อรุ่นเดียวกันหลายครั้ง 

หากมีหลายไอคอนปรากฏขึ้น ให้เลือกไอคอนเครื่องพิมพ์ที่ทราบว่าทำงานปกติในการพิมพ์ 

 

ในการตรวจสอบว่าเครื่องพิมพ์ใดยังคงทำงานปกติอยู่ ให้ทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้ 

• (สำหรับ Windows 11)
• (สำหรับ Windows 7, Windows 8 และ Windows 10)

(สำหรับ Windows 11)

 

1. เปิดเครื่องพิมพ์บราเดอร์ที่คุณต้องการใช้งาน
2. คลิก  Start > Settings > Bluetooth & devices > Printers & scanners
3. เลือกเครื่องพิมพ์ของคุณ
4. ตรวจสอบสถานะของเครื่องพิมพ์
   หากสถานะโชว์ idle หมายความว่าเครื่องพิมพ์นี้สามารถทำงานได้ปกติ  ให้เลือกไดรเวอร์เครื่องพิมพ์นี้ในการพิมพ์ 
   

   (เพิ่มเติม) หากต้องการเปลี่ยนชื่อเครื่องพิมพ์ ให้ทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้

   1. คลิก  Printer properties
   2. เปลี่ยนชื่อเครื่องพิมพ์ในหน้า Printer Properties และคลิก  OK

 

(Windows 7, Windows 8 และ Windows 10)

 

1. เปิดเครื่องพิมพ์บราเดอร์ที่คุณต้องการใช้งาน  
2. เปิดโฟลเดอร์เครื่องพิมพ์:
   (Windows 8, Windows 10)
   เปิด Control Panel  (คลิกที่นี่เพื่อดูวิธีการเปิด Control Panel)
   คลิก Hardware and Sound > Devices and Printers
   
   (สำหรับ Windows 7)
   คลิก Start > Device and Printers
3. เลื่อนเคอร์เซอร์ไปที่ไอคอนเครื่องพิมพ์จนกระทั่งสถานะของเครื่องพิมพ์ปรากฏ
   
   
   
   หากสถานะโชว์ Offline แสดงว่าไดรเวอร์เครื่องพิมพ์นี้ไม่ทำงาน ให้เลือกไอคอนเครื่องพิมพ์อื่นที่ไม่แสดง Offline

   (เพิ่มเติม) หากต้องการเปลี่ยนชื่อเครื่องพิมพ์ ให้ทำตามขั้นตอนด้านล่างนี้

   1. คลิกขวาที่ไอคอนเครื่องพิมพ์
   2. คลิก  Printer Properties
   3. เปลี่ยนชื่อเครื่องพิมพ์ในหน้า Printer Properties และคลิก  OK 
4. หากคุณต้องการพิมพ์เครื่องพิมพ์นี้บ่อยๆ ให้คลิกขวาที่ไอคอนเครื่องพิมพ์และเลือก​​​​​​​ Set as default printer  เครื่องหมายถูกจะปรากฏที่หน้าไอคอนของเครื่องพิมพ์และเมื่อคุณพิมพ์ในครั้งถัดไป ระบบจะเลือกเครื่องพิมพ์นี้ให้โดยอัตโนมัติ 
   
   
   

 

สำหรับ Windows: ขั้นตอน V. หากปัญหายังคงปรากฏอยู่...

ตรวจสอบวิธีการแก้ไขปัญหาที่ตรงกับกรณีของคุณ 

(สำหรับการเชื่อมต่อแบบสาย USB)

> คลิกที่นี่เพื่อดูวิธีการแก้ไขปัญหาพิมพ์ไม่ได้แบบสาย  USB 

 

(สำหรับการเชื่อมต่อแบบเครือข่ายไร้สาย)
> คลิกที่นี่เพื่อดูวิธีการแก้ไขปัญหาพิมพ์ไม่ได้แบบเครือข่ายไร้สาย  (สำหรับ Windows)

 

 

สำหรับ macOS: หากปัญหายังคงปรากฏอยู่...

ตรวจสอบวิธีการแก้ไขปัญหาที่ตรงกับกรณีของคุณ

 (สำหรับการเชื่อมต่อแบบสาย USB)
> คลิกที่นี่เพื่อดูวิธีการแก้ไขปัญหาพิมพ์ไม่ได้แบบสาย USB 

 

(สำหรับการเชื่อมต่อแบบเครือข่ายไร้สาย)
> คลิกที่นี่เพื่อดูวิธีการแก้ไขปัญหาพิมพ์ไม่ได้แบบเครือข่ายไร้สาย  (สำหรับ Mac)